3. การก่อตั้งพระพุทธศาสนา วิธีการสอนและการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแนวพุทธจริยา

วิธีสอนของพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าได้รับยกย่องว่า  ทรงเป็น “ พระบรมครู ”  หรือ “ ศาสดาเอก ”  ในโลกเพราะพระองค์ทรงมีวิธีสอนที่ดีเยี่ยม  ทำให้ผู้ฟังเข้าใจแจ่มแจ้ง  มีคำกล่าวว่า  ถ้าพระพุทธองค์ทรงตัดสินพระทัยจะแสดงธรรมโปรดใคร  เขาผู้นั้นย่อมได้บรรลุมรรคผลไม่ระดับใดก็ระดับหนึ่ง  ในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึงวิธีการที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมทั้งโดยตรงและโดยอ้อม  ในที่นี้กล่าวถึง  หลักการสอน  วิธีสอนธรรม  และเทคนิควิธีสอนธรรมของพระพุทธองค์โดยสังเขป

1. หลักการสอน  หมายถึง  หลักการสอนทั่วไป  มีอยู่ 4 ประการ ดงนี้

1.1 แจ่มแจ้ง  อธิบายแจ่มแจ้งดุจนำมาวางให้ตรงหน้า

1.2 จูงใจ  พูดจูงใจอยากปฏิบัติตามที่สอน

1.3 หาญกล้า  ทำให้ผู้ฟังเกิดความกล้าหาญ  มั่นใจที่จะปฏิบัติตาม

1.4 ร่าเริง  ให้ผู้ฟังเกิดฉันทะในการฟัง  สนุกสนานไปกับการสอน  ไม่เบื่อ

2. วิธีสอน  วิธีสอนของพระพุทธเจ้ามี  4  แบบ  ดังนี้

2.1 แบบบรรยาย  การสอนแบบนี้นี้ทรงใช้เสมอ  ส่วนมากจะเป็นบรรยากาศที่มีผู้ฟังจำนวนมาก เช่น ที่วัดพระเชตวันมหาวิหาร  พระองค์จะเสด็จลงแสดงธรรมเทศนาในช่วงบ่ายของทุกวัน  เมื่อครั้งแสดงธรรมครั้งแรกคือโปรดปัญจวัคคีย์ทรงใช้วิธีบรรยายตั้งแต่ต้นจนจบ

2.2 แบบสนทนา  แบบนี้ทรงใช้บ่อยมาก  อาจเพราะผู้ฟังมีโอกาสได้แสดงความคิดเห็น  ทำให้การเรียนการสอนสนุก  ผู้ฟังมีความรู้สึกว่าตนกำลังสนทนากับผู้สอน  ไม่ใช่ “ ถูกสอน ”  ในการสนทนาพระพุทธเจ้าทรงทำหน้าที่ซักถาม  โยนประเด็นปัญหาให้ขบคิดแล้วทรงสรุปให้เข้าใจ

2.3 แบบตอบปัญหา  แบ่งย่อยออกเป็น  4  อย่าง  ดังนี้

(1)  ตอบตรงไปตรงมา  ไม่อ้อมค้อม  ไม่มีเงื่อนไข  เช่นถ้าถามว่า  ทางพ้นทุกข์คืออะไร  ตอบทันที่เลยว่าทางพ้นทุกข์คืออริยสัจสี่

(2)  ย้อนถามก่อนแล้วค่อยตอบ  ปัญหาบางอย่างจะตอบทันทีไม่ได้  ต้องย้อนถามเพื่อความแน่ใจก่อนแล้วค่อยตอบ  เช่นถามว่า  คนเราทำกรรมแล้ว  ตายไปเกิดชาติหน้าจะตกนรกหรือขึ้นสวรรค์  ต้องย้อนถามว่า  ที่ทำกรรมนั้น  ทำกรรมดีหรือกรรมชั่ว  ถ้าทำกรรมดีย่อมขึ้นสวรรค์  ถ้าทำกรรมชั่วย่อมตกนรก  ดังนี้เป็นต้น

(3)  แยกประเด็นตอบ  บางครั้งก็แยกตอบเป็นเรื่องๆ  เป็นประเด็นๆไป  ยกตัวอย่าง  มีผู้ถามพระพุทธองค์ว่า  พระองค์ตำหนิตบะ ( ความเข้มงวด )ทุกอย่างหรือไม่  พระพุทธองค์ทรงแยกแยะประเด็นตอบว่า  ถ้าเป็นความเข้มงวดแบบทรมานตัวเองให้ลำบากต่างๆนานา  พระพุทธองค์ทรงตำหนิ  แต่ถ้าเป็นความเข้มงวดแบบธุดงควัตรพระองค์ทรงสรรเสริญ

(4)  แบบตัดประเด็นหรือไม่ตอบ  มีปัญหาบางอย่างที่พระองค์ไม่ทรงตอบเรียกว่า “ อัพยากตปัญหา ” เช่น ถามว่าโลกเที่ยงหรือไม่เที่ยง  โลกมีที่สุดหรือไม่  พระอรหันต์ตายไปแล้วยังคงอยู่หรือไม่  เหตุผลที่ไม่ทรงตอบ  เพราะว่า  แม้จะรู้หรือไม่รู้  ก็ไม่ทำให้ทุกข์ที่มีอยู่เพิ่มขึ้นหรือลดลง   ในบางกรณีที่ผู้ถามต้องการให้ทรงขัดแย้งกับคนอื่น  พระองค์ไม่ทรงตอบ  เช่น ชาวกาลามะ  แห่งหมู่บ้านเกสปุตตนิคม  เล่าว่ามีเจ้าลัทธิต่างๆที่ผ่านมาต่างก็ดูถูกลัทธิของคนอื่นว่าผิด ของตนถูกต้อง  แล้วทูลถาม

พระองค์ว่า  พวกไหนสอนถูก  พวกไหนสอนผิด   พระองค์ตรัสว่า  ใครจะสอนถูกสอนผิดช่างเถิด  เราตถาคตจะแสดงธรรมให้ฟัง

3. เทคนิควิธีสอน  พระพุทธเจ้าทรงใช้เทคนิคการสอนหลากหลาย  คือ

3.1  ทำนามธรรมให้เป็นรูปธรรม  หรือ “ ทรงทำของยากให้ง่าย ”   ธรรมะเป็นนามธรรมละเอียดอ่อนเข้าใจยาก  พระองค์ทรงมีเทคนิควิธีทำให้ง่ายขึ้น  ซึ่งทำได้หลายวิธี  เช่น

(1)  ใช้อุปมาอุปไมย  บางเรื่องที่พึงรู้ได้ด้วยอุปมาอุปไมย  พระองค์ทรงใช้  เช่น  ตรัสบอกเหล่าสาวกของพระองค์ว่า ธรรมะที่ทรงตรัสรู้นั้นมีมากดุจใบไม้ในป่า  แต่ทรงนำมานิดเดียวเฉพาะที่จำเป็นจะต้องรู้  ดุจใบไม้ในกำมือดังนี้  เป็นต้น

(2)  ยกนิทานประกอบ  ทรงยกนิทานชาดก ( เรื่องราวของพระองค์เมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์  บำเพ็ญบารมีในชาติก่อนๆ ) เช่น  พระเวสสันดรชาดก  หรือทรงนำนิทานพื้นบ้านโบราณมาเล่าให้ฟัง  ดังเรื่อง   ตาบอดคลำช้างแปดคน  ต่างคนต่างคลำแต่ละส่วนของช้าง  แล้วเข้าใจว่าตนรู้จักช้างดี  จึงทะเลาะทุบตีกัน  แล้วสรุปว่า “ คนที่รู้เห็นเพียงบางแง่มุมมักจะทะเลาะทุ่มเถียงกันเพราะทิฐิ ( ความเห็น )”

(3)  ใช้สื่อการสอน  พระพุทธองค์ทรงใช้สื่อการสอนเพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจชัดเจนขึ้น  ดังทรงสอนสามเณรราหุลเรื่องโทษของการพูดเท็จทั้งที่รู้  โดยทรงใช้ขันตักน้ำเทลงทีละนิดจนหมดขันแล้วคว่ำขันลง  แล้วทรงยกขันเปล่าขึ้น  ตรัสสอนว่า  คนที่พูดเท็จทั้งที่รู้ย่อมเทความดีงามออกทีละนิดจนหมดไปในที่สุด  อีกครั้งหนึ่งทรงใช้แว่นส่องหน้าเป็นสื่อในการสอนเรื่อง  สติสัมปชัญญะ  แว่นมีไว้ส่องดูใบหน้าฉันใด   สติสัมปชัญญะก็มีไว้กำกับตนเพื่อส่องดูเรื่องที่คิด  การที่ทำและคำที่พูดฉันนั้น

3.2   ทำตนให้เป็นตัวอย่าง  ในแง่การสอนอาจแบ่งได้เป็น 2 อย่าง   คือ

(1)  สาธิตให้ดูหรือทำให้ดู  ดังเมื่อครั้งพระองค์ทรงสั่งให้พระอานนท์ผสมน้ำอุ่น  แล้วทรงใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดร่างกายของพระภิกษุรูปหนึ่งที่ป่วยด้วยโรคพุพอง  มีหนองไหลเยิ้ม  ไม่มีเพื่อนภิกษุดูแล  ทรงทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้วตรัสสอนว่า “ พวกเธอมาบวชในศาสนาของตถาคต  ไม่มีพ่อไม่มีแม่  เมื่อพวกเธอไม่ดูแลกันเองในยามป่วยไข้  แล้วใครจะดูแล ”

(2)  ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่าง  พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ที่ปฏิบัติพระองค์ให้เป็นแบบอย่างที่ดี  จึงได้รับการยกย่องว่า  เป็นพระบรมครู  เป็นศาสดาเอกในโลก

3.3   ทรงเลือกใช้คำให้เหมาะสม  คำศัพท์ที่คนสมัยนั้นใช้อยู่แล้ว  เช่น  คำว่า พราหมณ์  ภิกษุ เทพ เป็นต้น  พระองค์ทรงนำเอามาใช้สอนธรรม  แต่ให้ความหมายใหม่  วิธีนี้ทำให้ผู้ฟังให้ความสนใจและเข้าใจได้ง่ายเพราะได้เทียบเคียงกับความหมายเดิม

ครั้งหนึ่งพราหมณ์คนหนึ่งมาชวนให้พระพุทธเจ้าไปอาบน้ำ  อ้างว่าอาบน้ำในท่าศักดิ์สิทธิ์แล้วจะหมดบาปได้ขึ้นสวรรค์  พระองค์ทรงแย้งว่า  ถ้าความบริสุทธิ์มีได้ด้วยน้ำมนุษย์ก็บริสุทธิ์สู้กุ้ง  หอย  ปู  ปลาไม่ได้  เพราะสัตว์เหล่านั้นอาบน้ำอยู่ตลอดเวลา  ครั้นพราหมณ์ถามว่า  พระองค์ไม่สรรเสริญการอาบน้ำหรือ  พระองค์ตอบว่า สรรเสริญ  แล้วทรงให้ความหมายของการอาบน้ำใหม่ว่า  เป็นการอาบกาย  วาจา  ใจ  ด้วยศีล  สมาธิ  ปัญญา

3.4  รู้จังหวะและโอกาส  คือ รอให้ผู้ฟังมีความพร้อมเสียก่อนแล้วค่อยสอน  ดังกรณีเด็กหนุ่มชื่อ  วักกลิมาบวชเพราะติดใจในความงามแห่งพระวรกายของพระพุทธองค์  ไม่สนใจปฏิบัติธรรม  ได้แต่คอยเฝ้ามองพระพุทธองค์ด้วยความชื่นชม  พระองค์ทรงรอให้เธอมีความพร้อมเสียก่อนแล้วตรัสเตือนสติประทานโอวาท  จนสำเร็จพระอรหันตผลในที่สุด

3.5  ยืดหยุ่นในการใช้เทคนิควิธี  ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือ  พระพุทธเจ้าตรัสกับคนฝึกม้าชื่อเกสี  ว่าพระองค์ทรงใช้เทคนิควิธีฝึกสาวกของพระองค์  เช่นเดียวกับที่เกสีฝึกม้า  คือ  บางครั้งก็ทรงใช้วิธีนุ่มนวล  บางครั้งเข้มงวด  บางครั้งผสมผสานระหว่างทั้งสองวิธี  ถ้าไม่สำเร็จ  พระองค์ก็ทรง “ ฆ่าทิ้ง ” ดุจนายเกสีฆ่าม้าที่ฝึกไม่ได้  แต่การฆ่าของพระองค์  หมายถึง ไม่พูดด้วย  ไม่ว่ากล่าวตักเตือน  หรือ “ คว่ำบาตร ” ให้ผู้นั้นสำนึกตนในภายหลัง

3.6  เสริมแรง  เพื่อสัมฤทธิ์ผลแห่งการสั่งสอน  การเสริมแรงเป็นสิ่งจำเป็น  การตรัสชมเชยพระสาวกของพระสาวกบางรูปให้สงฆ์ฟัง  เป็นการเสริมแรงให้ท่านผู้นั้นมีฉันทะในการปฏิบัติธรรมสูงขึ้นตามลำดับ  แม้การทรงตั้งตำแหน่ง “ เอตทัคคะ ”(ความเป็นเลิศกว่าผู้อื่น) ให้แก่พระสาวกที่มีความถนัดและความสามารถพิเศษเฉพาะด้านก็นับเป็นการเสริมแรงเช่นเดียวกัน

การเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแนวพุทธจริยา

พุทธจริยา  หมายถึง  พระจริยาวัตรหรือความประพฤติที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น  มี  3  ประการ  ดังนี้

1. โลกัตถจริยา  พุทธจริยาเพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก

2. ญาตัตถจริยา  พุทธจริยาเพื่อประโยชน์แก่พระประยูรญาติทั้งหลาย

3. พุทธัตถจริยา  พุทธจริยาที่ทรงบำเพ็ญในฐานะที่ทรงเป็นพระพุทธเจ้า

การเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแนวพุทธจริยาจึงสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาพระจริยาวัตรทั้ง  3  ประการของพระพุทธองค์เพื่อความเข้าใจแนวพระจริยาวัตรให้ถูกต้อง  ดังนี้

1. โลกัตถจริยา  การที่พระองค์ทรงอนุเคราะห์ชาวโลกนั้นแสดงออกในพุทธกิจประจำวันนั่นเอง  ซึ่งเห็นได้ชัดว่า วันเวลาที่ผ่านไปแต่ละวันเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่คนอื่นทั้งนั้น  พระองค์แทบไม่มีเวลาพักผ่อนเลยแม้ประชวรหนักอย่างไร  ก็ทรงอุตสาห์ข่มทุกขเวทนาสั่งสอนคนอื่น ดังเช่น ทรงโปรดสุภัททปริพาชกก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานเป็นต้น พุทธกิจ  5  ประการ คือ

(1) ปุเรภัตตกิจ  เวลาเช้าเสด็จออกบิณฑบาต  ถือโอกาสแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตว์ด้วย

(2) ปัจฉาภัตตกิจ  เวลาบ่ายทรงแสดงธรรมโปรดประชาชน

(3) ปุริมยามกิจ  เวลาค่ำทรงประทานโอวาทแด่ภิกษุสงฆ์

(4) มัชฌิมยามกิจ  เวลากลางคืนทรงตอบปัญหาเทวดา

(5) ปัจฉิมยามกิจ  เวลาจวนสว่างทรงตรวจดูบุคคลที่พึงโปรดด้วยพระญาณ

2. ญาตัตถจริยา   พระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์พระญาติเมืองกบิลพัสดุ์และพระญาติเมืองเทวทหะหลายครั้ง  เพราะทรงถือว่าแม้พระองค์จะเป็น  “ คนของโลก ” แล้ว  ก็ไม่ทรงละเลยการอนุเคราะห์เกื้อกูลกันฉันเครือญาติ  เช่น

***  เสด็จนิวัติเมืองกบิลพัสดุ์เพื่อโปรดพระพุทธบิดา  และพระประยูรญาติทั้งหลายหลังการตรัสรู้แล้ว

***  เสด็จขึ้นไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  โดยเทศนาพระอภิธรรมโปรดตลอดพรรษา

***  ทรงชักนำขัตติยกุมารจากศากยวงศ์และโกลิยวงศ์ออกบวชเพื่อให้พบแนวทางชีวิตที่ดีกว่า  ตลอดถึงทรงอนุญาตให้ขัตติยนารีที่เป็นพระญาติของพระองค์บวชเป็นภิกษุณีด้วย  เช่น  กรณีให้นางมหาปชาบดีโคตมีบวช

***  ทรงระงับสงครามแย่งน้ำในแม่น้ำโรหิณีระหว่างศากยวงศ์และโกลิยวงศ์  ทำให้พระญาติทั้งสองฝ่ายไม่ต้องฆ่าฟันกันให้เสียเลือดเนื้อ  เหตุการณ์สำคัญครั้งนี้ชาวพุทธได้สร้างพระพุทธรูปขึ้นเป็นอนุสรณ์ปางหนึ่งเรียกว่า “ พระพุทธรูปปางห้ามญาติ ”  ( พระพุทธรูปยืนยกหัตถ์ขวาในท่าห้ามปราม )

***  ทรงเสด็จไปป้องกันพระญาติฝ่ายศากยวงศ์จากการถูกทำลายล้างของพระเจ้าวิฑูฑภะ  ผู้ยกทัพมาโจมตีเมืองกบิลพัสดุ์ด้วยความแค้นส่วนตัวถึงสามครั้ง

3.   พุทธัตตถจริยา  หน้าที่ที่พระพุทธองค์ทรงกระทำในฐานะที่เป็นพระพุทธเจ้า  ความจริงรวมอยู่ในโลกัตตถจริยานั่นเอง  แต่ที่แยกพูดอีกต่างหากก็เพื่อเน้นว่า  หน้าที่บางอย่างพระพุทธเจ้าเท่านั้นทรงทำได้  พุทธะอื่นๆ ( คือปัจเจกพุทธะและอนุพุทธะ )ไม่สามารถทำได้  พุทธจริยามีมากมายเช่น

3.1)   ช่วยสรรพสัตว์ข้ามห้วงทุกข์   พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีมายาวนาน  เมื่อยังเป็นพระโพธิสัตว์ก็ตั้งพระปณิธานจะช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์  เมื่อได้ตรัสรู้แล้วทรงทำหน้าที่นี้ตลอดพระชนม์ชีพ

3.2)   ปูพื้นฐานแห่งกุศลธรรม   หรืออุปนิสัยที่ดีในภายหน้า  ในกรณีที่ทรงแนะหรือฝึกฝนบางคนไม่ได้  เพราะเขามีความหยาบช้าหนาแน่นไปด้วยโมหะอวิชชาเกินกว่าจะเข้าถึงธรรมได้พระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งพยายามสั่งสอนเพื่อให้เขามีอุปนิสัยปัจจัยที่ดีในภายภาคหน้า  ดังกรณีทรงบวชให้พระเทวทัต  ทั้งๆที่รู้ด้วยพระญาณว่าเทวทัตบวชแล้วจักทำสังฆเภท ( สร้างความแตกแยกในหมู่สงฆ์ )

3.3)   ช่วยปิดทางอบาย   คือปิดกั้นมิให้คนบางประเภทถลำลึกลงสู่ทางแห่งความเสื่อมฉิบหาย  เช่น  เสด็จไปโปรดโจรองคุลิมาล  ก่อนที่จะพบมารดาระหว่างทางและก่อนจะกระทำมาตุฆาต ( ฆ่ามารดา ) อันเป็นกรรมหนัก

3.4)   ทรงบัญญัติพระวินัยเพื่อความดำรงมั่นแห่งพระศาสนา  พระวินัยถือว่าเป็นรากแก้วแห่งพระพุทธศาสนา  เมื่อพระสงฆ์บางรูปกระทำสิ่งที่ไม่สมควรแก่สมณะ  เป็นที่ตำหนิติเตียนของชาวโลก  พระองค์ทรงวางเป็นข้อบังคับห้ามทำเช่นนั้นอีกต่อไป  พระวินัยที่ทรงบัญญัติขึ้นเป็นเครื่องควบคุมสงฆ์ให้มีความสงบเรียบร้อย  เป็นที่เลื่อมใสของประชาชน  และเป็นเครื่องจรรโลงพระพุทธศาสนาให้มั่นคงถาวร

3.5)   ทรงสถาปนาสถาบันสืบทอดพระพุทธศาสนา   ทรงตั้งพุทธบริษัท 4 คือ ภิกษุภิกษุณี   อุบาสก   อุบาสิกา   พร้อมทรงวางหน้าที่ให้แต่ละฝ่ายปฏิบัติและหน้าที่พึงปฏิบัติร่วมกัน  เพื่อความวัฒนาสถาพรแห่งพระพุทธศาสนาสืบไป  

 

คำถามท้ายบท

 

This entry was posted in สังคมศึกษา1 ส31101 ม.4. Bookmark the permalink.

Leave a comment